แหล่งท่องเที่ยวในอีสาน

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553



ประวัติอาหารไทย

อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
ต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้น
และจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษโดยส่วนใหญ่อาหารไทย
จะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนักโดยเฉพาะทุกครัวเรือน
ของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็น

พริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอมตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหาร
จำพวกผัก และเนื้อสัตว์นานาชนิด เพราะมีวิธี
นำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น
แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน
การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหาร
ตั้งแต่ อดีต อาทิการนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบ
อาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย




อาหารที่มีลักษณะเฉพาะ ตั้งแต่เรื่องการผสมกลมกลืนในการปรุงแต่งรูป รส กลิ่น
ให้กลมกล่อมอร่อยและรสจัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการจัดรูปแบบ

หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อ
ลือชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิดอาหารไทยถือว่ามี
ีลักษณะพิเศษ เนื่องจากประเทศไทยเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีอาหารตามธรรมชาติที่มีพิเศษ
ตามภูมิอากาศ และภูมิประเทศที่หลากหลายตลอดทั้งปีรวมทั้งคนไทยมีศิลปะอยู่ใน
สายเลือดอยู่แล้ว จึงแสดงออกซึ่งศิลปะวิทยาของคนในรูปแบบการปรุงแต่งและการกิน

การแกะสลัก


การแกะสลัก ตบแต่งสีสันสวยงามวิจิตรบรรจง
ในเรื่องการผสมสานทางคุณค่าอาหารและทางยา
เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกัน
การบำรุงและการรักษา ตลอดจนการใช้อาหารเป็น
เครื่องแสดงความผูกพันในหมู่ญาติมิตรและเป็นเครื่อง
แสดงฐานะทางสังคมรวมทั้งการใช้อาหารเป็นสื่อ
ทางความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
อาหารไทยแท้

คืออาหารที่คนไทยทำกันมาแต่โบราณ ส่วนมากเป็นแบบง่ายๆ เช่น ข้าวแช่ ต้มโคล้ง แกงป่า น้ำพริก เป็นต้น และหลน
ขนมไทยแท้ก็ปรุงมาจากแป้ง น้ำตาล กะทิเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ตะโก้ ลอดช่อง เป็นต้น และถ้า
ใส่ไข่ ส่วนมากมักจะเป็นขนมไทยที่รับมาจาก
ชาติอื่น



อาหารไทยแปลง

คืออาหารไทยที่แต่งแปลงมาจากเทศ หรือ
อาหารไทยที่รับมาจากต่างประเทศ บางชนิด

คนไทยคุ้นเคย จนไม่รู้สึกว่าเป็นของชาติอื่นเช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ที่จริงนั้นดัดแปลงมาจาก
ของอินเดีย และแกงจืดต้มจืดทั้งหลายก็ดัดแปลงมา
จากอาหารจีน เป็นต้น
อาหารหวานหรือขนมหลายอย่าง ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
ทองโปร่ง ฝอยทอง และ สังขยาเป็นต้น

มารู้จักความรักกั๊น

ความรัก คืออะไร

เมื่อเราเกิดมีความรักขึ้นมาก็จะถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งก็ตอบง่ายแสนง่ายอย่างมีเหตุผลอย่างมีลำดับขึ้นว่า เริ่มจาก
1.ความพึงพอใจ
2.ความชอบ
3.ความรัก
4.ความหลง


ความพึงพอใจ

ความรู้สึกดีๆ ในจุดๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ

ความชอบ

การมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ ดังนี้

1.ชอบที่หน้าตา

2.ชอบที่นิสัย

3.ชอบที่ความสามารถ

4.ชอบที่ฐานะ


ความรัก

ในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ



" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว



" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด



" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่

เรือ คือ การเรียนรู้

ไก่ คือ กาลเวลา


นั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้

1.ความพึงพอใจ

2.ความชอบ

3.ความใกล้ชิด

4.ความผูกพัน

5.ความเข้าใจ

ความหลง

ความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!

แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?

แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ


"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ "
แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย

" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?

หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?

หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?

หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?

และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาค

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอ


คยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"

วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ

คำที่ใช้แทนคำว่า
"ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"

หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง

หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย

หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย

หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

หากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้าง

หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า

"ถึงหรือยัง"

"ปลอดภัยดีไหม"

"เหนื่อยไหม"

หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า

"โชคดีนะ"
"ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"

หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า

"ขับรถดีๆนะ"

หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ


ความใส่ใจ กับความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน


ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคน


เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????


เรื่องลับลับเกี่ยวกับความรัก

มีความลับเกี่ยวกับความรักอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเข้าใจยิ่งค้นหาก็จะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้น


เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางทีความรักก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างที่เคยเป็นต้องปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน

ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา

คุณไม่สามารถรักใครได้หรอกถ้าคุณไม่รู้สึกเชื่อมั่นเป็นอันดับแรก และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น นั่นก็คือตัวคุณเอง

กลอนเพราะ ๆ วันแม่

อุ้มรัก

อุ่นใดเล่าอุ่นนักอุ่นรักเจ้า
อุ่นที่เฝ้าดูแลและถนอม
อุ่นสายใยผูกพันทุกวันยอม
อุ่นในอ้อมกอดรักฟูมฟักรอ

ให้เจ้าได้เติบใหญ่ในครรภ์น้อย
เก้าเดือนคอยหัวใจไม่เคยท้อ
เก็บความรักความหวังพลังพอ
เพียงแค่ขอให้เจ้าเฝ้าเติบโต

จะเก็บเกี่ยวความฝันทุกวันไว้
เจ้าเติบใหญ่รายล้อมพร้อมสุขโข
ให้สมบูรณ์แข็งแรงแกร่งกล้าโชว์
เป็นสายโซ่เกี่ยวรัดผูกมัดใจ

ให้เจ้าเป็นเด็กดีปรีดานัก
รักทอถักยืนยงอสงไขย
เป็นความหวังของพ่อแม่ต่อไป
อิ่มอุ่นใดอุ่นเท่ารักเจ้าเอย..



กอดของแม่

อุ่นอันใดในหล้าที่ว่าอุ่น
ไม่ละมุมทดแทนเท่าแขนแม่
ที่ตวัดโอบร่างอย่างดูแล
ยามลูกแพ้ด้วยฤทธิ์พิษสังคม

มือแม่นั้นโอบมาจากบ่าซ้าย
แนบเรือนกายกลางหลังฝังความขม
ตบเบาเบาหมายให้ไล่ความตรม
ดุจสายลมอบอุ่นละมุนละไม

น้ำตาลูกรินลงอยู่ตรงหน้า
แม้เหนื่อยล้าเจ็บท้อเพียงขอให้
รอยกอดนั้นลึกล้ำมาค้ำใจ
ตลอดไปชั่วกาลนานนิรันดร์

ลูกวันนี้อยู่อย่างห่างคนกอด
คำพร่ำพลอดห่วงใยไกลเกินฝัน
แขนที่โอบแนบสนิทติดชีวัน
ก็มีอันจากไปในเวลา

ลูกจะรอวันหนึ่งถึงวันนั้น
วันที่ฝันอบอุ่นยังกรุ่นฟ้า
วันที่ต้องทดท้อต่อชะตา
วันเหว่ว้ามาเตือนเยือนชีวี

ลูกจะหยิบมือแม่วางกลางศีรษะ
อย่าปล่อยนะวางไว้ตรงใจนี่
ด้วยความรักศรัทธาและปรานี
ให้ลูกนี้ยืนหยัดในบัดดล...


กลอนเพราะ ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษบ้าง

Mother is a part of God.
Mother is a part of Love.
Mother is a part of our Strength.
Mother is a part of our Winning.
Mother is a part of who direct us to right path to proceed.
and ..and ..so on..
I Love my Mother very much.....
Don't let ur Mother get away from u....
Happy Mother's Day..





Mothers are the place where love
Emerges from the earth,
And happiness rings out like bells
In honor of our birth.
Mothers are the sun that lights
For life our inner sky,
So we may know that we are loved
And need not question why.

Mothers are the moon that shines
Upon our black despair,
So even when we weep, we know
That someone's always there.

Whatever fear, or stress, or pain
Might them to anger move,
We know that underneath the storm
We have, always, their love.


ประวัติผ้าอนามัย


เชื่อได้ว่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงต้องเคยพูดประโยคแบบนี้มาก่อน

แน่นอนว่า ผ้าอนามัย กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในทุกๆเดือน ไม่ว่าจะมาม๊ากกกกมากกก
ในประเทศไทย ผ้าอนามัยถือว่าเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2535


กว่าจะเป็นผ้าอนามัยนั้น ย้อนไปสุดๆเลยนะ

ต้องย้อนไปถึงสมัยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเชียว

สมัยนั้นใช้พวก ขนสัตว์ หญ้ามอส ฟองน้ำทะเล หรือ สาหร่าย เป็นต้น

พอเริ่มมีการผลิตพวกสิ่งทอก็นำพวกกาบมะพร้าวทุบ กระดาษฟาง นุ่น แกลบ

หรือไม่ก็ขี้เถ้าแกลบมาเป็นที่ซับประจำเดือน โดยใช้เศษผ้ามาพับเป็นแถบยาวๆ

สอดหว่างขา ใช้เชือกกล้วย เชือกฟาง หรือไม่ก็ผ้าที่เย็บเป็นสายยาวผูกกับเอว

คลายนุ่งผ้าเตี่ยว เพื่อยึดเอาไว้นั่นเอง


อเนก นาวิกมูล อ้างถึง ผ้าอนามัยสำเร็จรูป ไว้ในหนังสือ "แรกมีในสยาม" ว่า
หลักฐานเรื่องผ้าอนามัยเก่าสุดที่พบ เป็นโฆษณาขายผ้าซับระตูในหนังสือ "ข่ายเพ็ชร์"

ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘

(ถ้านับอย่างปัจจุบันก็เท่ากับ พ.ศ. ๒๔๖๙) เป็นช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ ๗

แต่คงมีมาก่อนแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๖แหนะ

ภาพจาก : http://www.su-usedbook.com/

สงสัยว่ากาบมะพร้าวเก่าๆที่ใช้มันคงจะลำบากเกิน มนุษย์อย่างเราๆ มีมันสมอง สองมือ

ก็ได้พัฒนาเป็นผ้าอนามัย ในปี 1895 นับราวๆก็ประมาณเกือบ 120 ปีได้!!!

ซึ่งก็ได้ไอเดียมาจาก ผ้าพันแผลทำจากเยื่อไม้ที่นางพยาบาลใช้ซับให้แก่ผู้ป่วย

ที่เราๆเรียกกันว่า ผ้าก๊อสนั่นเอง โดยยึดหลัก ทำจากสิ่งที่หาง่าย และถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตยังถือว่าสูงอยู่ดี เลยมีใช้ในหมู่ของคนรวยเท่านั้น


ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ ค.ศ.1939) นี่เอง
ที่เราได้เห็นผ้าอนามัยแบบตะขอ คือ ใช้ตะขอของสายคาดเอว

เกี่ยวกับห่วงสองข้างของตัวผ้าอนามัย
แบบตะขอ




ปีค.ศ.1930-1940 ของอเมริกา


ต่อมาดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นแบบยางยืดหรือแบบห่วงหละ

ลองถามคุณแม่บางท่าน อาจจะเคยเห็นผ้าอนามัย แบบนี้ก็ได้ เชื่อว่ายังมีบางท่านเคยเห็น

แน่นอนว่า แม่ของเราก็เคยเห็น ซึงแม่ก็เก็บไว้อันหนึ่ง (ซึ่งแม่คงคิดเก็บไว้ให้เราดูมั้ง 555+)

ปัจจุบัน เอาไว้ใช้สำหรับคนเพิ่งตลอดลูกด้วยนะ สำหรับผ้าอนามัยชนิดนี้มีข้อจำกัดตรงที่

ใช้ไปนานๆจะไม่กระชับ เพราะมันยืดแล้วไง

แบบยางยืด






(จาก http://www.mum.org/belts.htm รูปตั้งแต่ ค.ศ.1920เลยนะ)

ย้อนไปในช่วงปี 1920ตอนนั้นก็มีบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัย

ออกจำหน่ายในตลาดเพียง 2-3 ราย ทว่า ผู้ผลิตโดยตรงรายแรก ก็คือ โกเต็กซ์

เนื่องจากบริษัทอื่นยังคงผลิตผ้าพันแผลอยู่ในเวลานั้น
การโฆษณาผ้าอนามัยส่วนใหญ่นั้น ปกติจะใช้การวาดภาพนางแบบ

แทนการถ่ายแบบที่เป็นคนจริงๆ
แต่เนื่องจากว่ามันก็ไม่สบายมนุษย์อีกแหละ ก็ผ้าอนามัยทั้ง2แบบ

มันแนบกับกางเกงในไงหล่ะ เลยทำให้หมดสมัยของมันไป ประมาณกลางทศวรรษ 1980

แล้วก็มีการพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็น ผ้าอนามัยแถบปลาย โดยเซลล็อกซ์

(กระดาษทิชชู่อ่ะ) คล้ายกับผ้าอนามัยแบบห่วงนะ ต่างกันตรงที่่

ปลายด้านกว้างจะเป็นผ้าใยเทียมปลายเรียวยาวแทนห่วงทั้งสองข้าง ปรับเลื่อนได้



จึงหมดกังวลเรื่องความกระชับ ถึงไงก็ต้องมีสายคาดอยู่ดี ไม่สะดวกเวลาใส่เสื้อผ้ารัดรูปหล่ะสิ

จึงเกิดผ้าอนามัยแบบที่เราใช้อยู่กันนั่นคือผ้าอนามัยแถบกาว

แซนนิต้านำเข้ามาในกลางปี ค.ศ.1972 คิดไปคิดมากก็ เกือบ 40 ปีเองนะ!!!~

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของผ้าอนามัยชนิดนี้ยังแพง

คนกระเป๋าเบาก็จึงมักใช้ผ้าอนามัยแบบซักได้เสียมากกว่า


ถึงแม้ว่ารูปแบบของผ้าอนามัยจะมีการพัฒนา

แต่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิตก็ยังคงเป็นแบบเยื่อกระดาษ (pulp) มาตลอด

โครงสร้างผ้าอนามัย มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆอย่างที่เห็นๆกัน

คือ เยื่อการดาษ และผ้าใยเทียมไม่ทอ

เยื่อกระดาษ จะถูกตีจนละเอียดเหมือนปุยสำลี (crushed pulp)

สามารถอุ้มของเหลวได้มาก เนื้อละเอียด มีความหนาพอสมควร

เพื่ออุ้มของเหลวตามต้องการ

ผ้าใยเทียมไม่ทอ คล้ายกับถุง สามารถปล่อยผ่านของเหลว

ลงสู่เยื่อกระดาษได้เร็ว ไม่ตกค้างภายนอกนาน
แต่เดิม อเมริกาเป็นผู้วชาญการผลิตแบบตีให้เป็นปุยสำลีมาก




ก็มีวิวัฒนาการใหม่ ญี่ปุ่น คนพบสาร polymer gel ประมาณ 30 ปีที่ผ่านมานี้

ซึ่งเป็นสารพลาสติก เม็ดเล็กคล้ายเม็ดทรายละเอียด ดูดน้ำเร็ว อุ้มน้ำได้หลายเท่า

เมื่อนำไปผลิต จะช่วยลดเยื่อกระดาษ ส่วนน้ำจะไม่ซึมกลับ
จนเมื่อปี 20ปีที่แล้ว ผ้าอนามัยมีปีกยี่ห้อแรก นำพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE)

หรือพลาสติกโพลิโพรพิวลีน (PP) มีน้ำหนักเบา รับแรงอัดและแรงดึงได้ดี เป็นฉนวนไฟฟ้า

ทนความเย็น ทนกรดและด่างได้ดี มาใช้เป็นส่วนหุ้มเยื่อกระดาษแทนผ้าใยเทียมไม่ทอ

และเจ้าพลาสติกนี่เอง มีคุณสมบัติ ไม่ดูดซับความชื้น ความชื้นจะลงสู่ส่วนล่างได้เร็วขึ้น

จึงรู้สึกแห้งสบาย สะอาด แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้บ่นว่าผ้าใยเทียมไม่ทอจะให้สัมผัสที่นุ่มสบายกว่า

ปัจจุบันจึงมีการผนวกแผ่นใยสองชนิดเข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละบริษัทได้ออกแบบ เป็นลวดลายต่างๆ แล้วจดลิขสิทธิ์

ส่วนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของผ้าอนามัย ก็ไม่น้อยหน้ากว่าส่วนอื่น มีทั้ง

แถบกาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายเหลี่ยมเป็นปลายมน เป็นบอดี้ฟอร์มที่ด้านหน้ากว้าง ปลายเรียว

ตรงกลางนูน เป็นแบบเว้าขอบขา และสุดท้ายเป็นแบบมีปีก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

ผ้าอนามัยที่ว่า ต้องสวมสบายไร้รูปรอย ไม่ซึมเปื้อน และไม่ระคายเคืองนั่นเอง