แหล่งท่องเที่ยวในอีสาน

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

-----> นักตกปลาเมืองน้ำหอม โชว์ปลาทองยักษ์ !




นักตกปลาเมืองน้ำหอม โชว์ปลาทองยักษ์

8ก.ย.สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายราฟาเอล บิอาจินี่ นักตกปลชาวฝรั่งเศสวัย 30 โชว์ปลาทองตัวใหญ่ยักษ์ น้ำหนักขนาด30 ปอนด์ หรือราว 13.5 กิโลกรัม หลังจากที่ไปตกปลาทางภาคใต้ของฝรั่งเศส

นายบิอาจินี่เล่าว่าไม่นึกว่าปลากที่มาติดเบ็ดจะตัวสีส้มแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าคงตัวใหญ่มาก และปลาก็ดิ้นแรงมากด้วย แต่ก็สู้แรงเย่อของตนไม่ไหว พอยกขึ้นมาถ่ายภาพได้แล้ว ก็ปล่อยคืนทะเลสาบไป อีกทั้งไม่มีขวดโหลเลี้ยงปลาทองที่ตัวมหึมาขนาดนี้

เพื่อนนักตกปลากล่าวว่า พยายามตกปลาตัวนี้ให้ได้มานานกว่า 6 ปีแล้ว จนกระทั่งนายบิอาจินี่สามารถตกได้ดังกล่าว
ใส่สีสดใสอย่าได้แคร์
เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสดแบบไม่แคร์สื่อ!!

สำหรับวัยใสเปรี้ยวปรี๊ดจี๊ดจ๊าดอย่างสาวๆ เสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส ย่อมทำให้สาวๆ ดูสดใสสวยน่ารักสมวัย มากกว่าเสื้อผ้าสีโทนเข้ม อย่างที่คุณแม่คุณป้าเค้าใส่กัน … แต่สำหรับสาวๆ บางคนแล้ว ก็ยังไม่กล้าพอที่จะหยิบเสื้อผ้าสีสันจี๊ดจ๊าดจัดจ้านมาใส่ เพราะกลัวว่าจะดูแรงเกินบุคลิก

แต่จริงๆ แล้วพี่จะบอกให้นะคะว่า สำหรับสาวๆ แล้ว เสื้อผ้าสีสดน่ะ เหมาะสำหรับทุกคนนั่นล่ะค่ะ อยู่ที่ว่า สาวๆ จะรู้จักเทคนิคในการที่จะใส่ให้ดูดีได้รึเปล่าแค่นั้นเอง

พี่ว่า เรามาลองหาเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้ใส่เสื้อผ้าสีสดแล้วดูสวยกันดีกว่าค่ะ







>>> เริ่มจากเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ก่อน อย่างสร้อย กำไล แหวน หมวก แล้วค่อยๆ เพิ่มสีสันลงไปบนชิ้นใหญ่ เช่น เสื้อ กระโปรง เสื้อกั๊ก จนกว่าจะมั่นใจถึงค่อยใส่เป็นเดรสสีสดทั้งตัว

>>> ถ้าสาวๆ ชอบสีโทนขรึมอย่างสีเอิร์ธโทนก็ใช้สีเดิมต่อไป แต่เพิ่มความสดลงไปในสีที่สาวๆ ชอบ เช่น ชอบใส่สีเนื้อก็ใส่สีเหลืองอ่อนแล้วค่อยๆ ให้เป็นเหลืองสว่างขึ้น ชอบม่วงก็ใส่ม่วงอ่อนก่อนแล้วค่อยๆ ปรับเป็นม่วงที่สดใสขึ้น ช่วยให้มั่นใจที่จะเดินออกไปนอกบ้านมากขึ้น เพราะอย่างน้อยสาวๆ ก็กำลังใส่สีโปรดอยู่



>>> ถ้ากลัวการใส่สีสดๆ ทั้งชุด ก็ลองใส่ผ้าสีพื้นที่มีลวดลายสดๆ จะช่วยให้การแต่งตัวของสาวๆ สนุกน่าสนใจขึ้นค่ะ

>>> จำไว้ให้ขึ้นใจนะคะสาวๆ อย่าใส่เฉดสีเดียวกันทั้งตัว แหว่างสีสดๆ กับสีอ่อน เช่น เสื้อชมพูกับกางเกงขาว เบรกด้วยเสื้อกั๊กสีดำ มิกซ์แอนด์แมทช์อย่าให้ซ้ำ จะเหมือนสาวๆ ได้ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ๆ ทุกวันยังไงล่ะค่ะ

… ไม่ใช่เทคนิคที่ยากเลยใช่หรือเปล่าล่ะสาวๆ แบบนี้เห็นทีสาวๆ คงจะต้องลองนำไปใช้บ้างแล้วล่ะค่ะ

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน!!


เมื่อลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้
เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้
1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุกครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

ข้อมูลจาก : http://www.bangkok-today.com/node/301

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553



ประวัติอาหารไทย

อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
ต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้น
และจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษโดยส่วนใหญ่อาหารไทย
จะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนักโดยเฉพาะทุกครัวเรือน
ของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็น

พริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอมตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหาร
จำพวกผัก และเนื้อสัตว์นานาชนิด เพราะมีวิธี
นำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น
แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน
การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหาร
ตั้งแต่ อดีต อาทิการนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบ
อาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย




อาหารที่มีลักษณะเฉพาะ ตั้งแต่เรื่องการผสมกลมกลืนในการปรุงแต่งรูป รส กลิ่น
ให้กลมกล่อมอร่อยและรสจัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการจัดรูปแบบ

หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อ
ลือชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิดอาหารไทยถือว่ามี
ีลักษณะพิเศษ เนื่องจากประเทศไทยเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีอาหารตามธรรมชาติที่มีพิเศษ
ตามภูมิอากาศ และภูมิประเทศที่หลากหลายตลอดทั้งปีรวมทั้งคนไทยมีศิลปะอยู่ใน
สายเลือดอยู่แล้ว จึงแสดงออกซึ่งศิลปะวิทยาของคนในรูปแบบการปรุงแต่งและการกิน

การแกะสลัก


การแกะสลัก ตบแต่งสีสันสวยงามวิจิตรบรรจง
ในเรื่องการผสมสานทางคุณค่าอาหารและทางยา
เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกัน
การบำรุงและการรักษา ตลอดจนการใช้อาหารเป็น
เครื่องแสดงความผูกพันในหมู่ญาติมิตรและเป็นเครื่อง
แสดงฐานะทางสังคมรวมทั้งการใช้อาหารเป็นสื่อ
ทางความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
อาหารไทยแท้

คืออาหารที่คนไทยทำกันมาแต่โบราณ ส่วนมากเป็นแบบง่ายๆ เช่น ข้าวแช่ ต้มโคล้ง แกงป่า น้ำพริก เป็นต้น และหลน
ขนมไทยแท้ก็ปรุงมาจากแป้ง น้ำตาล กะทิเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ตะโก้ ลอดช่อง เป็นต้น และถ้า
ใส่ไข่ ส่วนมากมักจะเป็นขนมไทยที่รับมาจาก
ชาติอื่น



อาหารไทยแปลง

คืออาหารไทยที่แต่งแปลงมาจากเทศ หรือ
อาหารไทยที่รับมาจากต่างประเทศ บางชนิด

คนไทยคุ้นเคย จนไม่รู้สึกว่าเป็นของชาติอื่นเช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ที่จริงนั้นดัดแปลงมาจาก
ของอินเดีย และแกงจืดต้มจืดทั้งหลายก็ดัดแปลงมา
จากอาหารจีน เป็นต้น
อาหารหวานหรือขนมหลายอย่าง ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
ทองโปร่ง ฝอยทอง และ สังขยาเป็นต้น

มารู้จักความรักกั๊น

ความรัก คืออะไร

เมื่อเราเกิดมีความรักขึ้นมาก็จะถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งก็ตอบง่ายแสนง่ายอย่างมีเหตุผลอย่างมีลำดับขึ้นว่า เริ่มจาก
1.ความพึงพอใจ
2.ความชอบ
3.ความรัก
4.ความหลง


ความพึงพอใจ

ความรู้สึกดีๆ ในจุดๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ

ความชอบ

การมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ ดังนี้

1.ชอบที่หน้าตา

2.ชอบที่นิสัย

3.ชอบที่ความสามารถ

4.ชอบที่ฐานะ


ความรัก

ในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ



" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว



" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด



" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่

เรือ คือ การเรียนรู้

ไก่ คือ กาลเวลา


นั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้

1.ความพึงพอใจ

2.ความชอบ

3.ความใกล้ชิด

4.ความผูกพัน

5.ความเข้าใจ

ความหลง

ความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!

แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?

แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ


"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ "
แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย

" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?

หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?

หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?

หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?

และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาค

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอ


คยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"

วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ

คำที่ใช้แทนคำว่า
"ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"

หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง

หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย

หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย

หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ

หากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้าง

หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า

"ถึงหรือยัง"

"ปลอดภัยดีไหม"

"เหนื่อยไหม"

หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า

"โชคดีนะ"
"ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"

หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า

"ขับรถดีๆนะ"

หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ


ความใส่ใจ กับความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน


ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคน


เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????


เรื่องลับลับเกี่ยวกับความรัก

มีความลับเกี่ยวกับความรักอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเข้าใจยิ่งค้นหาก็จะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้น


เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางทีความรักก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างที่เคยเป็นต้องปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน

ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา

คุณไม่สามารถรักใครได้หรอกถ้าคุณไม่รู้สึกเชื่อมั่นเป็นอันดับแรก และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น นั่นก็คือตัวคุณเอง

กลอนเพราะ ๆ วันแม่

อุ้มรัก

อุ่นใดเล่าอุ่นนักอุ่นรักเจ้า
อุ่นที่เฝ้าดูแลและถนอม
อุ่นสายใยผูกพันทุกวันยอม
อุ่นในอ้อมกอดรักฟูมฟักรอ

ให้เจ้าได้เติบใหญ่ในครรภ์น้อย
เก้าเดือนคอยหัวใจไม่เคยท้อ
เก็บความรักความหวังพลังพอ
เพียงแค่ขอให้เจ้าเฝ้าเติบโต

จะเก็บเกี่ยวความฝันทุกวันไว้
เจ้าเติบใหญ่รายล้อมพร้อมสุขโข
ให้สมบูรณ์แข็งแรงแกร่งกล้าโชว์
เป็นสายโซ่เกี่ยวรัดผูกมัดใจ

ให้เจ้าเป็นเด็กดีปรีดานัก
รักทอถักยืนยงอสงไขย
เป็นความหวังของพ่อแม่ต่อไป
อิ่มอุ่นใดอุ่นเท่ารักเจ้าเอย..



กอดของแม่

อุ่นอันใดในหล้าที่ว่าอุ่น
ไม่ละมุมทดแทนเท่าแขนแม่
ที่ตวัดโอบร่างอย่างดูแล
ยามลูกแพ้ด้วยฤทธิ์พิษสังคม

มือแม่นั้นโอบมาจากบ่าซ้าย
แนบเรือนกายกลางหลังฝังความขม
ตบเบาเบาหมายให้ไล่ความตรม
ดุจสายลมอบอุ่นละมุนละไม

น้ำตาลูกรินลงอยู่ตรงหน้า
แม้เหนื่อยล้าเจ็บท้อเพียงขอให้
รอยกอดนั้นลึกล้ำมาค้ำใจ
ตลอดไปชั่วกาลนานนิรันดร์

ลูกวันนี้อยู่อย่างห่างคนกอด
คำพร่ำพลอดห่วงใยไกลเกินฝัน
แขนที่โอบแนบสนิทติดชีวัน
ก็มีอันจากไปในเวลา

ลูกจะรอวันหนึ่งถึงวันนั้น
วันที่ฝันอบอุ่นยังกรุ่นฟ้า
วันที่ต้องทดท้อต่อชะตา
วันเหว่ว้ามาเตือนเยือนชีวี

ลูกจะหยิบมือแม่วางกลางศีรษะ
อย่าปล่อยนะวางไว้ตรงใจนี่
ด้วยความรักศรัทธาและปรานี
ให้ลูกนี้ยืนหยัดในบัดดล...


กลอนเพราะ ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษบ้าง

Mother is a part of God.
Mother is a part of Love.
Mother is a part of our Strength.
Mother is a part of our Winning.
Mother is a part of who direct us to right path to proceed.
and ..and ..so on..
I Love my Mother very much.....
Don't let ur Mother get away from u....
Happy Mother's Day..





Mothers are the place where love
Emerges from the earth,
And happiness rings out like bells
In honor of our birth.
Mothers are the sun that lights
For life our inner sky,
So we may know that we are loved
And need not question why.

Mothers are the moon that shines
Upon our black despair,
So even when we weep, we know
That someone's always there.

Whatever fear, or stress, or pain
Might them to anger move,
We know that underneath the storm
We have, always, their love.


ประวัติผ้าอนามัย


เชื่อได้ว่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงต้องเคยพูดประโยคแบบนี้มาก่อน

แน่นอนว่า ผ้าอนามัย กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในทุกๆเดือน ไม่ว่าจะมาม๊ากกกกมากกก
ในประเทศไทย ผ้าอนามัยถือว่าเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2535


กว่าจะเป็นผ้าอนามัยนั้น ย้อนไปสุดๆเลยนะ

ต้องย้อนไปถึงสมัยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเชียว

สมัยนั้นใช้พวก ขนสัตว์ หญ้ามอส ฟองน้ำทะเล หรือ สาหร่าย เป็นต้น

พอเริ่มมีการผลิตพวกสิ่งทอก็นำพวกกาบมะพร้าวทุบ กระดาษฟาง นุ่น แกลบ

หรือไม่ก็ขี้เถ้าแกลบมาเป็นที่ซับประจำเดือน โดยใช้เศษผ้ามาพับเป็นแถบยาวๆ

สอดหว่างขา ใช้เชือกกล้วย เชือกฟาง หรือไม่ก็ผ้าที่เย็บเป็นสายยาวผูกกับเอว

คลายนุ่งผ้าเตี่ยว เพื่อยึดเอาไว้นั่นเอง


อเนก นาวิกมูล อ้างถึง ผ้าอนามัยสำเร็จรูป ไว้ในหนังสือ "แรกมีในสยาม" ว่า
หลักฐานเรื่องผ้าอนามัยเก่าสุดที่พบ เป็นโฆษณาขายผ้าซับระตูในหนังสือ "ข่ายเพ็ชร์"

ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘

(ถ้านับอย่างปัจจุบันก็เท่ากับ พ.ศ. ๒๔๖๙) เป็นช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ ๗

แต่คงมีมาก่อนแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๖แหนะ

ภาพจาก : http://www.su-usedbook.com/

สงสัยว่ากาบมะพร้าวเก่าๆที่ใช้มันคงจะลำบากเกิน มนุษย์อย่างเราๆ มีมันสมอง สองมือ

ก็ได้พัฒนาเป็นผ้าอนามัย ในปี 1895 นับราวๆก็ประมาณเกือบ 120 ปีได้!!!

ซึ่งก็ได้ไอเดียมาจาก ผ้าพันแผลทำจากเยื่อไม้ที่นางพยาบาลใช้ซับให้แก่ผู้ป่วย

ที่เราๆเรียกกันว่า ผ้าก๊อสนั่นเอง โดยยึดหลัก ทำจากสิ่งที่หาง่าย และถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตยังถือว่าสูงอยู่ดี เลยมีใช้ในหมู่ของคนรวยเท่านั้น


ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ ค.ศ.1939) นี่เอง
ที่เราได้เห็นผ้าอนามัยแบบตะขอ คือ ใช้ตะขอของสายคาดเอว

เกี่ยวกับห่วงสองข้างของตัวผ้าอนามัย
แบบตะขอ




ปีค.ศ.1930-1940 ของอเมริกา


ต่อมาดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นแบบยางยืดหรือแบบห่วงหละ

ลองถามคุณแม่บางท่าน อาจจะเคยเห็นผ้าอนามัย แบบนี้ก็ได้ เชื่อว่ายังมีบางท่านเคยเห็น

แน่นอนว่า แม่ของเราก็เคยเห็น ซึงแม่ก็เก็บไว้อันหนึ่ง (ซึ่งแม่คงคิดเก็บไว้ให้เราดูมั้ง 555+)

ปัจจุบัน เอาไว้ใช้สำหรับคนเพิ่งตลอดลูกด้วยนะ สำหรับผ้าอนามัยชนิดนี้มีข้อจำกัดตรงที่

ใช้ไปนานๆจะไม่กระชับ เพราะมันยืดแล้วไง

แบบยางยืด






(จาก http://www.mum.org/belts.htm รูปตั้งแต่ ค.ศ.1920เลยนะ)

ย้อนไปในช่วงปี 1920ตอนนั้นก็มีบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัย

ออกจำหน่ายในตลาดเพียง 2-3 ราย ทว่า ผู้ผลิตโดยตรงรายแรก ก็คือ โกเต็กซ์

เนื่องจากบริษัทอื่นยังคงผลิตผ้าพันแผลอยู่ในเวลานั้น
การโฆษณาผ้าอนามัยส่วนใหญ่นั้น ปกติจะใช้การวาดภาพนางแบบ

แทนการถ่ายแบบที่เป็นคนจริงๆ
แต่เนื่องจากว่ามันก็ไม่สบายมนุษย์อีกแหละ ก็ผ้าอนามัยทั้ง2แบบ

มันแนบกับกางเกงในไงหล่ะ เลยทำให้หมดสมัยของมันไป ประมาณกลางทศวรรษ 1980

แล้วก็มีการพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็น ผ้าอนามัยแถบปลาย โดยเซลล็อกซ์

(กระดาษทิชชู่อ่ะ) คล้ายกับผ้าอนามัยแบบห่วงนะ ต่างกันตรงที่่

ปลายด้านกว้างจะเป็นผ้าใยเทียมปลายเรียวยาวแทนห่วงทั้งสองข้าง ปรับเลื่อนได้



จึงหมดกังวลเรื่องความกระชับ ถึงไงก็ต้องมีสายคาดอยู่ดี ไม่สะดวกเวลาใส่เสื้อผ้ารัดรูปหล่ะสิ

จึงเกิดผ้าอนามัยแบบที่เราใช้อยู่กันนั่นคือผ้าอนามัยแถบกาว

แซนนิต้านำเข้ามาในกลางปี ค.ศ.1972 คิดไปคิดมากก็ เกือบ 40 ปีเองนะ!!!~

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของผ้าอนามัยชนิดนี้ยังแพง

คนกระเป๋าเบาก็จึงมักใช้ผ้าอนามัยแบบซักได้เสียมากกว่า


ถึงแม้ว่ารูปแบบของผ้าอนามัยจะมีการพัฒนา

แต่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิตก็ยังคงเป็นแบบเยื่อกระดาษ (pulp) มาตลอด

โครงสร้างผ้าอนามัย มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆอย่างที่เห็นๆกัน

คือ เยื่อการดาษ และผ้าใยเทียมไม่ทอ

เยื่อกระดาษ จะถูกตีจนละเอียดเหมือนปุยสำลี (crushed pulp)

สามารถอุ้มของเหลวได้มาก เนื้อละเอียด มีความหนาพอสมควร

เพื่ออุ้มของเหลวตามต้องการ

ผ้าใยเทียมไม่ทอ คล้ายกับถุง สามารถปล่อยผ่านของเหลว

ลงสู่เยื่อกระดาษได้เร็ว ไม่ตกค้างภายนอกนาน
แต่เดิม อเมริกาเป็นผู้วชาญการผลิตแบบตีให้เป็นปุยสำลีมาก




ก็มีวิวัฒนาการใหม่ ญี่ปุ่น คนพบสาร polymer gel ประมาณ 30 ปีที่ผ่านมานี้

ซึ่งเป็นสารพลาสติก เม็ดเล็กคล้ายเม็ดทรายละเอียด ดูดน้ำเร็ว อุ้มน้ำได้หลายเท่า

เมื่อนำไปผลิต จะช่วยลดเยื่อกระดาษ ส่วนน้ำจะไม่ซึมกลับ
จนเมื่อปี 20ปีที่แล้ว ผ้าอนามัยมีปีกยี่ห้อแรก นำพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE)

หรือพลาสติกโพลิโพรพิวลีน (PP) มีน้ำหนักเบา รับแรงอัดและแรงดึงได้ดี เป็นฉนวนไฟฟ้า

ทนความเย็น ทนกรดและด่างได้ดี มาใช้เป็นส่วนหุ้มเยื่อกระดาษแทนผ้าใยเทียมไม่ทอ

และเจ้าพลาสติกนี่เอง มีคุณสมบัติ ไม่ดูดซับความชื้น ความชื้นจะลงสู่ส่วนล่างได้เร็วขึ้น

จึงรู้สึกแห้งสบาย สะอาด แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้บ่นว่าผ้าใยเทียมไม่ทอจะให้สัมผัสที่นุ่มสบายกว่า

ปัจจุบันจึงมีการผนวกแผ่นใยสองชนิดเข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละบริษัทได้ออกแบบ เป็นลวดลายต่างๆ แล้วจดลิขสิทธิ์

ส่วนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของผ้าอนามัย ก็ไม่น้อยหน้ากว่าส่วนอื่น มีทั้ง

แถบกาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายเหลี่ยมเป็นปลายมน เป็นบอดี้ฟอร์มที่ด้านหน้ากว้าง ปลายเรียว

ตรงกลางนูน เป็นแบบเว้าขอบขา และสุดท้ายเป็นแบบมีปีก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

ผ้าอนามัยที่ว่า ต้องสวมสบายไร้รูปรอย ไม่ซึมเปื้อน และไม่ระคายเคืองนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทความ:โปรโมทเว็บ และ blog

ทคนิคการโปรโมทเว็บ และ Blog ให้ติดอันดับด้วย SEO ขั้นพื้นฐาน

โปรโมทเว็บ
การโปรโมทเว็บ blog หรือ Web ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่จะเอาดีในด้านการให้ข้อมูลอย่างมืออาชีพ ด้วยเหตุที่ว่าเราจะสร้างเว็บ หรือ blog มาทำไมในเมื่อไม่อยากให้ใครเห็น หรือ ใครพบเว็บ หรือ บล็อกของเรา
ในการเขียนบล็อก หรือ เว็บไซต์นั้น สำหรับธุรกิจโดยทั่วไปย่อมหวังที่จะให้ได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีมา Internet ก็คืออีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เกิดช่องทางในการนำเสนอสินค้าและบริการ สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป แต่ด้วยเหตุที่ในการนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ เหล่านั้นต่างก็มีผู้ประกอบการต่าง ๆ มากมายนำเสนอเช่นเดียวกันเป็นจำนวนมากหลายหมื่นหลายล้านเว็บไซต์ทั่วประเทศ เครื่องมือค้นหาอย่าง Search Engine? ถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น จึงมีการนำเสนอโฆษณารูปแบบ PPC (จะนำเสนอในครั้งต่อไป) แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุก ๆ เดือนไปตลอดที่มีการโฆษณา เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีการโฆษณาเว็บของเรา หรือ blog ของเราก็จะหายไปในบัดดล เว้นแต่ว่าคุณได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาการทางด้าน SEO มาก่อนที่จะหยุดทำการโฆษณานั้น ๆ จนติดหน้าแรกไปแล้ว
การโปรโมทเว็บเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องมีการวางแผนที่ ดี แต่ก็อาจเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งอาจมองว่าไม่คุ้มกับการ โปรโมทเว็บ หรือ โปรโมทบล็อก ด้วยซ้ำไปวันนี้ Make Many จะนำเสนอเรื่องราวทางด้านเทคนิคในขั้นพื้นฐานสำหรับการโปรโมทเว็บ หรือ โปรโมท blog กันครับที่ประหยัดเวลาและไม่ต้องเสียเงินในการโปรโมทด้วย
เทคนิคการโปรโมทเว็บ หรือ blog ให้ติดอันดับใน Search Engine ก่อนที่เราจะทำการโปรโมทเว็บ หรือ โปรโมทเว็บ blog ของเรานั้นเราต้องทำการสำรวจ ข้อมูลและเว็บ หรือ blog ของเราเสียก่อนครับโดยให้คุณดำเนินการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้เพื่อง่ายต่อการเข้าใจคุณสามารถ ศึกษาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เรื่อง “SEO คืออะไร” และ “Blog กับ SEO” กันเสียก่อนหนะครับจะได้เข้าใจตรงกัน
ขั้นตอนการโปรโมทเว็บไซต์/โปรโมท blog
1. Study ทำการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ คีเวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เว็บหรือบล็อกของเรา รวมไปถึงคีเวิร์ดที่ไกล้เคียงกันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับอะไร คำค้นหาหลักอะไร หรือ สินค้าอะไร ได้ยิ่งดีเอาแบบตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะถ้าหากว่าทำแบบกว้าง ๆ อาจไม่ได้ผลในทางที่เป็นการค้าหรือธุรกิจควรให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
2. Website Optimization ทำการปรับปรุงเนื้อหา และ การปรับแต่งเว็บเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการ SEO ตามแบบฉบับที่เหมาะสม หลักการก็คือพยายามใช้ HTML แบบโบราณให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้ Search Engine ชอบมาก ๆ ครับ ถ้าหากไม่ทราบแนวทางในการปรับแต่งสามารถศึกษาข้อมูลการปรับแต่งแบบโบราณได้ จาก W3C
3. Website Submission คือการส่งบัติเชิญเหล่า Search Engine ต่าง ๆ ให้มาเก็บข้อมูลที่เราได้ทำการปรับปรุงใหม่นั้น ๆ เพื่อให้ได้รับการ Index ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปและเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลให้กับ Search Engine ด้วย
4. Evaluation ทำการติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูความเคลื่อนไหวในการติดอันดับในระดับต่าง ๆ และ คีเวิร์ดต่าง ๆ ด้วย
5. Fine Tuning ปรับปรุงเนื้อหาของเว็บไซต์ หรือ บล็อกของเราตลอดเวลาครับ หรือ ทุกวันได้จะดีมากครับเพราะจะทำให้ Robot ของ Search Engine เข้ามาทำการเก็บข้อมูลบล็อก หรือเว็บของเราเป็นประจำ ข้อสำคัญต้องสอดคล้องกับ Keyword ของเราด้วยหนะครับเพียงเราทำตาม ขั้นตอนต่าง ๆ แบบง่าย ๆ อย่างนี้ไม่เกิน 6 เดือน Blog หรือ Website ของเราก็จะเริ่มติดอันดับไปทีละ Keyword เรื่อย ๆ และ น่าจะได้อันดับที่ดีพอสมควร
ในการโปรโมทเว็บ หรือ blog ด้วยหลักการทาง SEO นั้นต้องอาศัยระยะเวลา เนื่องจากเราต้องรอให้ Search Engine ต่าง ๆ ได้ทำการปรับปรุงเว็บเราไปให้ได้มากที่สุดเสียก่อน หรือ ให้ตรงกับคีเวิร์ดของเราให้มากที่สุดก่อน แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาวครับ เพราะถ้าเราติดอันดับแล้วเราก็จะทำการปรับปรุงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนนิ่งและได้รับความน่าเชื่อถือในเรื่องข้อมูลมากขึ้น.
45เคล็ดลับ โปรโมทเว็บ หรือ Blog ให้ดัง
1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg.com, Reddit.com, และ Now Public.com

2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเว็บเรา
3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท
4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเว็บของคุณด้วย
5. สมัคร Technorati แล้วก็ "claim" Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เว็บ)
6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ - -a)
8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
9. ใช้ RSS feeds

10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy

11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites
12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ

14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
18. เช็คเว็บของคุณ browser หลายๆอัน
19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้25. อย่าใช้ Frames
26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ - -")
29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
32. ส่ง Newsletter !!
33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
38. แจก Wordpress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า "แบบที่เห็นในทีวี"
40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
42. เรียนรู้ CSS
43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย เช่น www.yourdomain.com/keyword/keyword ไม่ใช่ www.yourdomain.com/pginfopages.cfm?cx=50799399822

บทความ:โจรอิเตอร์เน็ต

โจรอินเตอร์เน็ต...
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัววันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffersคือ การที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดัก ข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่มAuthentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofingเป็น วิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือ ข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)ถือ ได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attackเป็น วิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ- การโจมตีแบบอื่น ๆนอกจากนี้ ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบาง ส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบายแต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไปโดย ที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รุ้ตัววันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี

บทความ:เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้
ที่มา
อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆ
แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ (Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, hi5 และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก
สัดส่วนการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแยกตามทวีป, ที่มา: http://www.internetworldstats.com/stats.htm
ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 1.733 พันล้านคน หรือ 25.6 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน กันยายน 2552) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 42.6 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 360 ล้านคน
หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 74.2 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.4 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 52.0 % ตามลำดับ
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการ เชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าด้วยกันเรียกว่า "เครือข่ายไทยสาร"
การให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริการในนาม บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200 คน) ปี 2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000 คน) ... ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 จากจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 59.97 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 28.2 และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.2
อินเทอร์เน็ตแบนด์วิท (INTERNET BANDWIDTH)

บดความ:ไร้สายบรอดแบนด์

ไร้สายเครือข่ายบรอดแบนด์คืออะไร?
ไร้สายเครือข่ายบรอดแบนด์หมายถึงชุดของเทคโนโลยีไร้สายที่เชื่อมต่อลูกค้าลิงค์ไปยังให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยใช้ที่ดินตามสายเคเบิล. ไร้สายบรอดแบนด์ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต cafs ท้องถิ่นสถานบันเทิงธุรกิจบ้านเรือนที่ราชการ, โรงพยาบาล, และอื่นๆอีกมากมาย.
บรอดแบนด์ด้วยระบบไร้สายคุณสามารถใช้อินเตอร์เน็ตโดยการใช้สายเคเบิลดั้งเดิม. สามารถใช้งานโดยบุคคลและธุรกิจที่ใช้จ่ายบานเบอะเวลาในการเดินทางไปจากที่กำหนดจากที่ตั้งอื่น. นอกจากนี้ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตในชนบทและค่อนข้างแยกจากกันพื้นที่. หลักใช้ของเครือข่ายไร้สายบรอดแบนด์ LANs เป็นสำหรับการเชื่อมต่อไปยังอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้สำหรับการเชื่อมต่อของบริการเช่นข้อมูลเสียงและวิดีโอมากกว่าเดียวกันท่อ. แทนการเชื่อมโยงไปยังอุปกรณ์ผ่านกินกันของสาย, คอมพิวเตอร์ picks ขึ้นส่งสัญญาณจากคลื่นวิทยุทาวเวอร์. อุปกรณ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วข้อมูลนี้จะเปลี่ยนเป็นสัญญาณวิทยุที่ได้รับโดย Wi-Fi อะแดปเตอร์ที่อยู่ภายในคอมพิวเตอร์.
ไร้สายบรอดแบนด์ทำงานอย่างไร?
ไร้สายใช้บรอดแบนด์สั้นช่วงคลื่นวิทยุเพื่อสร้างที่ระบุครอบคลุมพื้นที่ที่คอมพิวเตอร์สามารถในเครือข่ายโดยสาย. ที่เครือข่ายบรอดแบนด์ประกอบด้วยชุดของอาคารที่มีวางในคลื่นวิทยุพื้นที่. ซึ่งช่วยให้ให้บริการระบบไร้สายความเร็วสูงส่งอินเทอร์เน็ตทุกที่ในพื้นที่โดยการใช้สายโทรศัพท์และสายที่มีปกติที่เกี่ยวข้องกับดั้งเดิมบรอดแบนด์และ dialup เข้าถึง. ที่บรอดแบนด์คือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายเสียบปลั๊กไฟเป็นเราเตอร์. คุณสามารถพอดีการ์ดไร้สายเป็นคอมพิวเตอร์ทั้งโดยเปิดคอมพิวเตอร์และวางบัตรภายในหรือโดย plugging ในใช้เคเบิลหรือพอร์ต. เมื่อคุณพอดีเหล่านี้บัตรและหันบนคอมพิวเตอร์ของคุณควรมีช่องป๊อปอัพที่จะถามซึ่งเครือข่ายไร้สายที่คุณต้องการเชื่อมต่อไปยัง. เราเตอร์ของคุณโดยอัตโนมัติควรสร้างเครือข่าย. คุณเลือกที่เหมาะสมจากนั้นเครือข่ายที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต. ผู้ใช้สามารถซื้อพีซีการ์ดแล็ปท็อปบัตรหรือ USB อุปกรณ์เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือแล็ปท็อปไปยังอินเทอร์เน็ตโดยวิธีโทรศัพท์เคลื่อนที่ทาวเวอร์. การตั้งค่าฮาร์ดแวร์สำหรับเครือข่ายไร้สายคุณจะต้องมีอะแดปเตอร์ไร้สาย, เราเตอร์และสลับและโมเด็มไร้สายบรอดแบนด์. มีสายที่มีการรันจากบรอดแบนด์โมเด็มไร้สายไปยังเดสก์ท็อป. อย่างไรก็ตามจริงอินเทอร์เน็ตสัญญาณคือ broadcasted wirelessly และสามารถเลือกโดยรีโมทคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือ. เนื่องจากไร้สายบรอดแบนด์เป็นส่งผ่านคลื่นวิทยุคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้การรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านเพื่อให้แน่ใจว่าคนผิดกฎหมายไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายของคุณและคอมพิวเตอร์. เป็นสำคัญที่บ้านผู้ใช้ติดตั้งที่เหมาะสมมาตรการรักษาความปลอดภัย
ประโยชน์ของไร้สายบรอดแบนด์
ไร้สายบรอดแบนด์ได้ทั้งหมดประโยชน์ของบรอดแบนด์ดั้งเดิมรูปแบบของ. ประกอบด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไม่ต้องการที่ดินบรรทัดเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความสะดวกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายจากทุกที่ที่มีให้ไม่ต้องสำหรับเทคนิคการติดตั้งและราคาไม่ใดๆที่แตกต่างกันกว่าเครือข่ายบริการ. คุณสามารถใช้บรอดแบนด์ที่ใดก็ได้และเพลิดเพลินกับการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเมื่อใดก็ตามที่คุณจำเป็นต้องใช้. ไร้สายบรอดแบนด์เข้าถึงโดยปกติไม่ช้าลงกว่าใดๆที่ใช้โมเด็ม. ณคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี evolves คนขณะนี้เป็นเพิ่มเติมเคลื่อนที่ในชีวิตประจำวันชีวิตรวมถึงการทำงานอยู่ไร้สายบรอดแบนด์กลายเป็นที่สำคัญสื่อสาร.