แหล่งท่องเที่ยวในอีสาน

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติผ้าอนามัย


เชื่อได้ว่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงต้องเคยพูดประโยคแบบนี้มาก่อน

แน่นอนว่า ผ้าอนามัย กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในทุกๆเดือน ไม่ว่าจะมาม๊ากกกกมากกก
ในประเทศไทย ผ้าอนามัยถือว่าเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2535


กว่าจะเป็นผ้าอนามัยนั้น ย้อนไปสุดๆเลยนะ

ต้องย้อนไปถึงสมัยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเชียว

สมัยนั้นใช้พวก ขนสัตว์ หญ้ามอส ฟองน้ำทะเล หรือ สาหร่าย เป็นต้น

พอเริ่มมีการผลิตพวกสิ่งทอก็นำพวกกาบมะพร้าวทุบ กระดาษฟาง นุ่น แกลบ

หรือไม่ก็ขี้เถ้าแกลบมาเป็นที่ซับประจำเดือน โดยใช้เศษผ้ามาพับเป็นแถบยาวๆ

สอดหว่างขา ใช้เชือกกล้วย เชือกฟาง หรือไม่ก็ผ้าที่เย็บเป็นสายยาวผูกกับเอว

คลายนุ่งผ้าเตี่ยว เพื่อยึดเอาไว้นั่นเอง


อเนก นาวิกมูล อ้างถึง ผ้าอนามัยสำเร็จรูป ไว้ในหนังสือ "แรกมีในสยาม" ว่า
หลักฐานเรื่องผ้าอนามัยเก่าสุดที่พบ เป็นโฆษณาขายผ้าซับระตูในหนังสือ "ข่ายเพ็ชร์"

ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘

(ถ้านับอย่างปัจจุบันก็เท่ากับ พ.ศ. ๒๔๖๙) เป็นช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ ๗

แต่คงมีมาก่อนแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๖แหนะ

ภาพจาก : http://www.su-usedbook.com/

สงสัยว่ากาบมะพร้าวเก่าๆที่ใช้มันคงจะลำบากเกิน มนุษย์อย่างเราๆ มีมันสมอง สองมือ

ก็ได้พัฒนาเป็นผ้าอนามัย ในปี 1895 นับราวๆก็ประมาณเกือบ 120 ปีได้!!!

ซึ่งก็ได้ไอเดียมาจาก ผ้าพันแผลทำจากเยื่อไม้ที่นางพยาบาลใช้ซับให้แก่ผู้ป่วย

ที่เราๆเรียกกันว่า ผ้าก๊อสนั่นเอง โดยยึดหลัก ทำจากสิ่งที่หาง่าย และถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตยังถือว่าสูงอยู่ดี เลยมีใช้ในหมู่ของคนรวยเท่านั้น


ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ ค.ศ.1939) นี่เอง
ที่เราได้เห็นผ้าอนามัยแบบตะขอ คือ ใช้ตะขอของสายคาดเอว

เกี่ยวกับห่วงสองข้างของตัวผ้าอนามัย
แบบตะขอ




ปีค.ศ.1930-1940 ของอเมริกา


ต่อมาดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นแบบยางยืดหรือแบบห่วงหละ

ลองถามคุณแม่บางท่าน อาจจะเคยเห็นผ้าอนามัย แบบนี้ก็ได้ เชื่อว่ายังมีบางท่านเคยเห็น

แน่นอนว่า แม่ของเราก็เคยเห็น ซึงแม่ก็เก็บไว้อันหนึ่ง (ซึ่งแม่คงคิดเก็บไว้ให้เราดูมั้ง 555+)

ปัจจุบัน เอาไว้ใช้สำหรับคนเพิ่งตลอดลูกด้วยนะ สำหรับผ้าอนามัยชนิดนี้มีข้อจำกัดตรงที่

ใช้ไปนานๆจะไม่กระชับ เพราะมันยืดแล้วไง

แบบยางยืด






(จาก http://www.mum.org/belts.htm รูปตั้งแต่ ค.ศ.1920เลยนะ)

ย้อนไปในช่วงปี 1920ตอนนั้นก็มีบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัย

ออกจำหน่ายในตลาดเพียง 2-3 ราย ทว่า ผู้ผลิตโดยตรงรายแรก ก็คือ โกเต็กซ์

เนื่องจากบริษัทอื่นยังคงผลิตผ้าพันแผลอยู่ในเวลานั้น
การโฆษณาผ้าอนามัยส่วนใหญ่นั้น ปกติจะใช้การวาดภาพนางแบบ

แทนการถ่ายแบบที่เป็นคนจริงๆ
แต่เนื่องจากว่ามันก็ไม่สบายมนุษย์อีกแหละ ก็ผ้าอนามัยทั้ง2แบบ

มันแนบกับกางเกงในไงหล่ะ เลยทำให้หมดสมัยของมันไป ประมาณกลางทศวรรษ 1980

แล้วก็มีการพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็น ผ้าอนามัยแถบปลาย โดยเซลล็อกซ์

(กระดาษทิชชู่อ่ะ) คล้ายกับผ้าอนามัยแบบห่วงนะ ต่างกันตรงที่่

ปลายด้านกว้างจะเป็นผ้าใยเทียมปลายเรียวยาวแทนห่วงทั้งสองข้าง ปรับเลื่อนได้



จึงหมดกังวลเรื่องความกระชับ ถึงไงก็ต้องมีสายคาดอยู่ดี ไม่สะดวกเวลาใส่เสื้อผ้ารัดรูปหล่ะสิ

จึงเกิดผ้าอนามัยแบบที่เราใช้อยู่กันนั่นคือผ้าอนามัยแถบกาว

แซนนิต้านำเข้ามาในกลางปี ค.ศ.1972 คิดไปคิดมากก็ เกือบ 40 ปีเองนะ!!!~

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของผ้าอนามัยชนิดนี้ยังแพง

คนกระเป๋าเบาก็จึงมักใช้ผ้าอนามัยแบบซักได้เสียมากกว่า


ถึงแม้ว่ารูปแบบของผ้าอนามัยจะมีการพัฒนา

แต่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิตก็ยังคงเป็นแบบเยื่อกระดาษ (pulp) มาตลอด

โครงสร้างผ้าอนามัย มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆอย่างที่เห็นๆกัน

คือ เยื่อการดาษ และผ้าใยเทียมไม่ทอ

เยื่อกระดาษ จะถูกตีจนละเอียดเหมือนปุยสำลี (crushed pulp)

สามารถอุ้มของเหลวได้มาก เนื้อละเอียด มีความหนาพอสมควร

เพื่ออุ้มของเหลวตามต้องการ

ผ้าใยเทียมไม่ทอ คล้ายกับถุง สามารถปล่อยผ่านของเหลว

ลงสู่เยื่อกระดาษได้เร็ว ไม่ตกค้างภายนอกนาน
แต่เดิม อเมริกาเป็นผู้วชาญการผลิตแบบตีให้เป็นปุยสำลีมาก




ก็มีวิวัฒนาการใหม่ ญี่ปุ่น คนพบสาร polymer gel ประมาณ 30 ปีที่ผ่านมานี้

ซึ่งเป็นสารพลาสติก เม็ดเล็กคล้ายเม็ดทรายละเอียด ดูดน้ำเร็ว อุ้มน้ำได้หลายเท่า

เมื่อนำไปผลิต จะช่วยลดเยื่อกระดาษ ส่วนน้ำจะไม่ซึมกลับ
จนเมื่อปี 20ปีที่แล้ว ผ้าอนามัยมีปีกยี่ห้อแรก นำพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE)

หรือพลาสติกโพลิโพรพิวลีน (PP) มีน้ำหนักเบา รับแรงอัดและแรงดึงได้ดี เป็นฉนวนไฟฟ้า

ทนความเย็น ทนกรดและด่างได้ดี มาใช้เป็นส่วนหุ้มเยื่อกระดาษแทนผ้าใยเทียมไม่ทอ

และเจ้าพลาสติกนี่เอง มีคุณสมบัติ ไม่ดูดซับความชื้น ความชื้นจะลงสู่ส่วนล่างได้เร็วขึ้น

จึงรู้สึกแห้งสบาย สะอาด แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้บ่นว่าผ้าใยเทียมไม่ทอจะให้สัมผัสที่นุ่มสบายกว่า

ปัจจุบันจึงมีการผนวกแผ่นใยสองชนิดเข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละบริษัทได้ออกแบบ เป็นลวดลายต่างๆ แล้วจดลิขสิทธิ์

ส่วนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของผ้าอนามัย ก็ไม่น้อยหน้ากว่าส่วนอื่น มีทั้ง

แถบกาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายเหลี่ยมเป็นปลายมน เป็นบอดี้ฟอร์มที่ด้านหน้ากว้าง ปลายเรียว

ตรงกลางนูน เป็นแบบเว้าขอบขา และสุดท้ายเป็นแบบมีปีก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

ผ้าอนามัยที่ว่า ต้องสวมสบายไร้รูปรอย ไม่ซึมเปื้อน และไม่ระคายเคืองนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น